ReadyPlanet.com


ขึ้นอย่าหลง ลงอย่าท้อ


  ไม่ค่อยแน่ใจนักว่า “ขึ้นอย่าหลง ลงอย่าท้อ” ประโยคนี้มีต้นตอหรือที่มาจากไหน แต่ผมพูดติดปากมาหลายปีแล้ว และชอบประโยคนี้มากพอสมควร เหตุเพราะว่าเมื่อชีวิตเราอยู่บนภาวะที่คล้ายกันนี้ คุณจะเข้าใจดีเลยว่าประโยคนี้เป็นความจริงแค่ไหน และมันเตือนตัวเองได้เสมอ ๆ..

 หลายคนอาจจะคิดว่าช่วงชีวิตของเราไม่เคยมี “ขึ้น” เลย ไม่เคยดีเลย มันไม่จริงเลยครับ เราอาจจะเคยมีช่วงเวลาที่ดี หรือกำลังจะดี แต่ไม่รู้ตัว มองไม่เห็น เช่น มีโอกาสที่หยิบยื่นมา แต่ ณ เวลานั้นเราอาจจะไม่กล้า คว้าไว้ หรือแบบตัวอย่างเหล่านี้ เช่น..

  • เราอาจจะมีช่วงเวลาที่ไม่มีหนี้สิน แต่ ณ เวลานั้นเราก็ประคองการเงินตัวเองไปไม่ได้
  • เราอาจจะมีเวลาที่ชีวิตคู่มีความสุข แต่ เราก็ไม่เห็นความสำคัญพอ ปล่อยวางมันเหมือนของตาย หรือทำลายมันด้วยต้นเหตุที่ไม่ควร (คิดได้ทีหลัง)
  • เราอาจจะมีใครชวนร่วมทำอะไรบางอย่าง ทว่าเราคิดมาก ไม่สนใจ แต่เวลาผ่านไป เขาสำเร็จมากมาย
  • เราอาจจะมีเวลาที่ ได้ข้อเสนอให้ทำงานบางอย่าง ที่ดูยาก เราจึงไม่เอาดีกว่า แต่เพราะยากมันจึงเป็นโอกาสแสดงความเหนือกว่ามิใช่หรือ?

อีกหลายอย่างทำนองนี้ ที่อาจลืมไปแล้ว และเรามักจะไม่จำ เพราะว่าเราจะจำได้แค่ตอนที่มันแย่ ตอนที่ชีวิตเป็นขาลง ตอนที่ไม่สำเร็จ ซึ่งที่จริงมันก็เป็นส่วนเดียวของเรื่องราว เรามักจำได้แต่ภาวะแย่ ๆ ที่เกิดขึ้น ว่ามันแย่อย่างไร แต่ไม่จำหรือไม่ได้มองว่าโอกาสที่พลาดไปก่อนหน้านั้นคืออะไร ช่วงเวลาอื่น ๆ มีอะไรดี ๆ บ้าง ในตอนนั้นอาจมองหรือคิดว่า มันไม่ใช่โอกาส เหล่านี้แค่สะท้อนว่า หากระลึกได้จริง ๆ เราเคยได้โอกาสดี ๆ มาก่อนจะแย่หลายครั้ง

บางคนเข้าใจและมีประสบการณ์อยู่แล้วในเรื่องนี้ หรือหากทบทวนจากที่เขียนไปก็อาจทำให้นึกได้ ที่จริงแล้วชีวิตของเรานั้นเคยมีขึ้นและแน่นอนย่อมเคยมีลงครั้งหนึ่งผมก็เคยรู้สึกว่าชีวิตไม่เคยมีขึ้น มีแต่เสมอตัวกับลง ภายหล้งเข้าใจได้ว่าตอนที่เราเรียกว่าเสมอตัวนี่เอง มันอาจเคยมีบันไดขึ้นไปขั้นหนึ่ง มันอาจจะมีก้าวที่ดีก้าวหนึ่งที่น่าจะก้าวไป แต่เราปฏิเสธปิดทางและไม่ยอมไปต่อ เมื่ออยู่กับที่นานเข้า มันก็เหมือนเรารอเวลาที่จะถอยลงมา ซึ่งในตอนนั้นเองเราก็ หลง อยู่เหมือนกัน คิดว่าเราพอดีแล้ว เราอยู่ได้ เราพอใจแล้ว เราไม่ต้องก้าวหน้า เราไม่ต้องดิ้นรนก้าวขึ้นไป นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมภายหลังชีวิตเราจึงตกลงมาอีก

ลงแล้วก็ยังหลง

เชื่อหรือไม่ว่า คนที่ชีวิตชักหน้าไม่ถึงหลังนั้น ก็หลงไปกับบางอย่างได้เหมือนกัน เพราะเวลาที่คนเรากำลังแย่ โดยปกติเราน่าจะคิดในทำนองว่า “นี่คือชีวิตที่แย่แล้วนะ ควรต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว..”

แต่ไม่เลย.. คนที่อยู่ภาวะนี้บ่อย ๆ เขาไม่ได้เดือดร้อนใจจริงจัง เช่น เมื่อคนเป็นหนี้ได้ แล้วใช้หนี้ได้ วนไปเรื่อย ๆ เขาก็ชะล่าใจว่า เอาตัวรอดได้น่า.. ไม่เป็นไร อาจมีที่รู้สึกเดือดร้อนขึ้นมาบ้าง ก็จะเป็นเพียงชความรู้สึกชั่วครู่ชั่วคราว เพราะถ้าเป็นเรา อะไรที่เดือดร้อนจริง ๆ เราจะยอมให้สิ่งนั้นเกิดซ้ำ ๆ ไหม? นี่จึงเป็นเรื่องแปลกที่คนในภาวะ “ชีวิตขาลง” แต่ยังคงไม่ดิ้นรนได้เหมือนกัน เพราะหลงคิดว่าจะมีอะไรมานำพาให้รอดไปได้คล้ายที่ผ่านมา… จนในที่สุดเอาตัวรอดไม่ได้แล้วนั่นแหละก็โทษเรื่องอื่นต่อไป ทั้งที่ตอนเริ่มขาลงก็ยังหลงไม่รู้ตัว

หลายคนไม่เชื่อว่า ชีวิตที่ไม่ก้าวหน้าคือรอวันถอยหลัง เพราะเมื่อมันหนักเข้าจริง ๆ ก็โทษสิ่งอื่น เช่น โชคชะตา ดวง หรือปัจจัยรอบข้าง อะไรก็ตาม คงยกตัวอย่างไม่ได้อย่างละเอียด เพราะแต่ละคนก็มีรูปแบบชีวิตที่แตกต่างกัน เพียงหากลองนึกดูว่าที่จริงแล้ว ในภาวะที่เรายังไม่เป็นขาขึ้น ยังไม่ก้าวหน้า แต่ไม่เดือดร้อน มันยากที่จะรู้ตัวว่าเราไม่พยายามอะไรเลย หรือกำลังประมาทอยู่ อาจจะหลงระเริงอยู่ด้วยว่า เราเพียงพอ เอาตัวรอดได้ มันคิดเท่านั้นจริง ๆ ผมเองก็เคยเป็นเช่นนั้นจนในที่สุดวันหนึ่ง.. สล็อต

เมื่อมองไปรอบ ๆ อย่างพิจารณา นี่เรายังกระจอกอยู่มากนัก เราไม่เก่งเอาเสียเลย ยังโง่อยู่อีกหลายเรื่อง… อะไรทำให้คิดแบบนี้? ทั้งที่แง่ของจิตวิทยาเชิงบวกเขาบอกว่า เราควรที่จะคิดว่า เราเก่ง เราทำได้ และเราสามารถเป็นไปได้อย่างที่ใจคิด การที่จะบอกตัวเองว่าเรากระจอก เราไม่เอาไหน เป็นการผิดต่อสมอง และจิตใจ



ผู้ตั้งกระทู้ mii (lelemimi888-at-gmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2023-06-16 09:10:48 IP : 192.142.226.21


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.